วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มะเกลือ

มะเกลือ


ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์

ชื่อวิทยาศาสตร์
Diospyros mollis Griff.
ชื่อวงศ์
Ebenaceae
ชื่ออังกฤษ
Ebony tree
ชื่อท้องถิ่น
มักเกลือ  ผีเผา



หลักฐานทางวิทยาศาสตร์
1.  ฤทธิ์ขับพยาธิ
                    ผลมะเกลือมีฤทธิ์ขับพยาธิ Toxicara canis และ Ancyclostoma canium ในสุนัข แต่สารสกัดไม่ให้ผลต่อพยาธิทั้ง 2    และผลมะเกลือสด ในขนาด 1.9 กรัม/กิโลกรัม ไม่ให้ผลไม่สามารถขับพยาธิ Schistosoma masoniและ Hymenolepus nana ในหนูถีบจักร (1)  แต่ในการทดลองให้น้ำคั้นผลมะเกลือสดแก่สุนัข จำนวน 80 มล. โดยให้ทางท่อสอดถึงกระเพาะอาหาร พบว่าถ้าใช้มะเกลือชนิดผลแบนใหญ่สีเขียวนวล สามารถขับพยาธิปากขอได้ 61.9 –100% ถ้าใช้มะเกลือชนิดผลกลมเล็กสีเขียว จะขับพยาธิปากขอได้ 58.2 – 67.5% โดยมีผลขับพยาธิปากขอชนิด Ancylostoma canium ได้มากกว่า  A. ceylanicum และเมื่อศึกษาประสิทธิภาพของมะเกลือในการทำลายไข่พยาธิ โดยผสมอุจจาระกับมะเกลือนาน 3, 24 และ 48 ชม.  จะทำให้การเจริญของไข่จนเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อลดลง  (2)   มีผู้ทดลองนำเอาสารสกัดซึ่งเป็นอนุพันธุ์ acetate ไปทดลองในสุนัข พบว่าได้ผลดีกับพยาธิ Ancyclostoma canium,Diphyllobothrium latumDipyridium caniumTrichuris vulpis (3, 4)
2.  สารสำคัญในการออกฤทธิ์ขับพยาธิ
                    พบว่าผลมะเกลือมีสาร diospyrol diglucoside ซึ่งละลายน้ำได้ดี จึงไม่ถูกดูดซึมผ่านลำไส้ แต่ถูกพยาธิกินเข้าไป จึงทำให้พยาธิตาย (5)
3.  การทดลองทางคลินิกใช้ขับพยาธิ
                    สารสกัดจากมะเกลือที่ใช้รักษาคนไข้ สามารถฆ่าพยาธิตัวตืด และพยาธิไส้เดือนได้ดี (6)    Sadun และ Vajrasthira ได้รวบรวมรายงานการใช้มะเกลือปี พ.ศ. 2477-2478    ซึ่งมีรายงานการรักษาคนไข้โรคพยาธิปากขอ ของโรงพยาบาลศิริราช พบว่าให้ผลดี และยังรายงานผลการรักษาคนไข้ 63 คน โดยใช้น้ำคั้นจากผลสด 4,380 กรัม ผสมกับน้ำมะพร้าว 3,000 มิลลิลิตร ซึ่งขนาดที่ใช้ขึ้นกับอายุ ในอัตรา 3 มิลลิตร/อายุ 1 ปี ขนาดที่ใช้สูงสุดคือ 75มิลลิลิตร   พบว่า 6 วัน หลังการให้ยาครั้งแรก พบว่าไข่พยาธิลดลงในคนไข้ 9 คน และพบพยาธิลดลงจากการตรวจด้วยวิธี Willis ในคนไข้ 22 คน   นอกจากนี้มีรายงานการรักษาเด็กที่เป็นพยาธิปากขอ ในโรงเรียน 40 แห่ง พบว่าน้ำคั้นผลสดผสมน้ำมะพร้าว สามารถรักษาพยาธิปากขอได้ดีกว่า Ascaris lumbricodes และ Trichuris trichicura  และได้ผลดีกว่ารักษาด้วย hexylresorcinol    พบผลข้างเคียงเล็กน้อยกับคนไข้ไม่กี่ราย คือ คลื่นไส้ อาการอาเจียน และท้องเสีย (7)
                    ใน พ.ศ. 2481 นายแพทย์เวก เนตรวิเศษ ได้ทดลองนำผงที่สกัดมาทดลองให้เด็กและผู้ใหญ่ รับประทานในขนาด 2-4 กรัม พบว่าสามารถฆ่าพยาธิปากขอ พยาธิตัวตืด พยาธิเส้นด้าย และพยาธิตัวกลมได้ (7)
                    นายแพทย์มงคล โมกขะสมิต ได้ทำการทดลองรักษาด้วยตะกอนที่เกิดจากการใส่ acetic acid ลงในสารสกัดแอลกอฮอล์ ในคนไข้ 50 คน ซึ่งมีพยาธิชนิดต่าง ๆ   ขนาดที่ให้ในผู้ใหญ่คือ 2-4 กรัม   และในเด็ก 0.1 กรัม/อายุ1 ปี พบว่าหลังการรักษาไม่พบไข่พยาธิปากขอทั้งชนิด Ancylostoma duodenale และ Necator americanus ในอุจจาระคนไข้    และได้ผลอย่างดีในคนไข้ 6 คน ที่เป็นพยาธิ Ascaris lumbricodes, Enterobius vermicularis,Strongloides steroralis, Fasciolopis buski รวมทั้งพยาธิตัวแบน 2 ชนิด คือ Taenia saginata และ T. solium (3, 4)
                    แพทย์หญิงเจริญศรี และคณะ ได้ทดลองประสิทธิภาพของสารสกัดจากผลมะเกลือสดด้วยแอลกอฮอล์ ในการรักษาคนไข้โรคพยาธิปากขอ โดยใช้ขนาดรักษา 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หลังอาหารเช้า 10 ชั่วโมง เปรียบเทียบกับการใช้ tetracholrethylene ในขนาดรักษา 0.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม   พบว่าสารสกัด สามารถลดจำนวนไข่ได้ 93.9+ 3.3%   ส่วน tetracholrethylene ลดได้ 98.8+1.2% อัตราการรักษาคิดเป็น 50.0% และ 77.3% ตามลำดับ และพบผลข้างเคียงในกลุ่มคนไข้ที่ทำการรักษา คือ คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน และปวดท้อง (8)    น้ำคั้นจากผลมะเกลือผสมน้ำปูนใสให้ผลการรักษาที่ดีในคนไข้ที่เป็นพยาธิปากขอ ผลอ่อนให้ผลดีกว่าผลแก่ แต่วิธีการนี้ไม่ควรทำแม้สารสกัดจะมีรสหวานขึ้น เนื่องจากด่างจะทำให้สารสำคัญเปลี่ยนแปลง ไปอยู่ในรูปที่ดูดซึมง่าย อาจทำให้ตาบอดได้ (9)
                    กระทรวงสาธารณสุขมีรายงานการใช้สารสกัดผลมะเกลือด้วยแอลกอฮอล์ในขนาด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รักษาพยาธิปากขอ พยาธิไส้เดือน พยาธิแส้ม้า โดยเปรียบเทียบกับ mebendazole ขนาด 2.0 มิลลิกรัม เป็นเวลา 3วัน พบว่าสารสกัดให้ผลดีกับพยาธิปากขอ แต่ให้ผลรักษาไม่ดีนักกับพยาธิไส้เดือนและพยาธิแส้ม้า สารสกัดทำให้ไข่ลดลง 57.3 ถึง 85.4% ส่วนอัตราการรักษา 23.6-29.0% ส่วน mebendazole ทำให้จำนวนไข่ลด 86.6%   สำหรับพยาธิปากขอ 98.1% สำหรับพยาธิไส้เดือน และ 77.4% สำหรับพยาธิแส้ม้า อัตราการรักษา 32.4, 92.0 และ 79.6% ตามลำดับ (10,11)
                    Sen และคณะรายงานการรักษาใช้สารสกัดผลมะเกลือด้วยแอลกอฮอล์เปรียบเทียบกับ Combantrin ในการขับพยาธิปากขอ พบว่าสารสกัดทำให้จำนวนไข่ลดลง 80.1% ส่วนอัตราการรักษาได้ผล 22.2% ขณะที่Combantrin ทำให้จำนวนไข่พยาธิปากขอ และพยาธิไส้เดือนลดลง 78.7% และ 100% ส่วนอัตราการรักษาได้ผล 12.8 และ 88.9% ตามลำดับ   มีรายงานคนไข้ที่ได้รับสารสกัดมีอาการท้องเสีย 80% และมีผลข้างเคียง อาเจียน, วิงเวียน,ปวดท้อง และปวดศีรษะในคนไข้บางราย (12)
4.  การทดสอบความเป็นพิษ
                    นายแพทย์มนัสวีร์ อุณหนันท์ และคณะ (13) ได้ทดลองศึกษาพิษของมะเกลือ โดยการทดลองในหนูขาว หนูถีบจักร และ กระต่าย พบว่าเมื่อให้สัตว์ทดลองกินมะเกลือ ในขนาด 16 เท่า ของขนาดที่ได้ผลในคน คิดเป็นน้ำหนักผงมะเกลือที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือ น้ำหนักผลมะเกลือสด 40 กรัม /กิโลกรัม ไม่พบพิษเฉียบพลัน ทั้งในหนูถีบจักร หนูขาวและกระต่าย การศึกษาขนาดสารสกัดต่าง ๆ ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง(LD50)    พบว่าสารสกัดด้วยน้ำใหม่ ๆ มี LD50น้อยที่สุดคือ 64 เท่าของขนาดในคน ในขณะที่สารสกัดซึ่งเปลี่ยนสีไปเป็นสีเหลือง เทา หรือดำ จะมีพิษน้อยกว่า
                    ผู้วิจัยกลุ่มนี้ยังได้ทำการทดลองความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลัน (subchronic toxicity) โดยทดลองในกระต่าย 128 ตัว พบว่าขนาดต่างๆไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย แต่ในขนาดสูงมากๆ อาจตายได้ และพวกที่กรอกด้วยมะเกลือผสมกะทิ สัตว์ทดลองตายมากที่สุด
                    การศึกษาทางพยาธิวิทยา เมื่อให้มะเกลือ 20 เท่า ของขนาดที่ใช้ในคน ไม่พบอาการผิดปกติของอวัยวะใด โดยเฉพาะที่ตา และสมอง การตรวจนี้ทำหลังจากให้มะเกลือแล้ว 14 วัน
                    ผู้วิจัยกลุ่มเดียวกันนี้ได้ทำการทดลองต่อไปถึงพิษของน้ำคั้นมะเกลือผสมกะทิ พบว่าเมื่อให้ในขนาด 5 และ 10 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน พบว่าสัตว์ทดลองตาย แต่ยาเตรียมแบบอื่นปลอดภัย ไม่พบอันตรายอื่น นอกจากท้องเสีย น้ำหนักลด และปัสสาวะขุ่น การศึกษาต่อไปเพื่อเปรียบเทียบน้ำคั้นมะเกลือกับกะทิ และน้ำคั้นมะเกลือกับน้ำ พบว่าทำให้กระต่ายท้องเสียอยู่ประมาณ 1-3 วัน ผลการตรวจเลือดพบว่า ระดับยูเรีย ไนโตรเจน (BUN) และ โคเลสเตอรอล สูงขึ้น ส่วนระดับครีเอตินิน แอลบูมิน กลอบบิวลิน แอลบูมิน ฟอสฟาเตส และ แทรนซามิเนส เปลี่ยนแปลง การตรวจพยาธิสภาพ พบว่าผนังท่อไต มีสีน้ำตาลติดอยู่ ส่วนตา และประสาทตา ไม่พบอาการผิดปกติ ในช่วงเวลาหลังให้มะเกลือ 3 วัน และ 7 วัน น้ำกะทิ ไม่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์แต่อย่างใด (14)
                    การศึกษาพิษของมะเกลือในหนูขาว โดยใช้น้ำคั้นมะเกลือที่เตรียมโดยวิธีต่างๆ เช่น คั้นสดๆ และต้มจนเกิดการอ๊อกซิไดซ์ และใช้มะเกลือที่ถูกอ๊อกซิไดซ์แล้ว พบว่าไม่เกิดพิษต่อประสาทตาในหนูขาว อาการข้างเคียงที่พบ คือ คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว อาการซึม (15) ได้มีผู้ศึกษาผลของยาเตรียม 3 ชนิด คือ น้ำคั้นกับน้ำปูนใส และน้ำคั้นผลสด และน้ำคั้นผลที่เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว เมื่อให้ในหนูถีบจักรกินในขนาด 1, 10, 25 และ 30 เท่าของขนาดที่คนใช้ พบว่า LD50 = 22-22.5 เท่าของขนาดที่คนใช้ ค่า BUN และ GOT ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่พบพิษต่อตับ ไต และตา และพบว่ามีคราบสีน้ำตาลในท่อไต และผนังลำไส้ และเซลล์ตับบางเซลล์ (16)   เมื่อนำสาร diospyros ที่ได้จากสารสกัดด้วยอัลกอฮอล์จากผลมะเกลือสด และสาร mamegakinone ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการนำ diospyrol มาทำปฏิกิริยาออกซิเดชันด้วยสารละลายเกลือ (Fremy’s salt solution) ไปทดสอบพิษต่อลูกตากระต่าย ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพในเรตินาและประสาทอ๊อบติค (เส้นประสาทที่เกี่ยวกับการรับภาพ) (17)
5.  รายงานความเป็นพิษ
                    นายแพทย์ศรี ศรีนพคุณ (18) ได้กล่าวถึงรายงานความปลอดภัยของมะเกลือของนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน คือ นายแพทย์ประยูร สายบำรุง ได้ทดลองให้สุนัขกินมะเกลือ 10 เท่าของขนาดธรรมดา ไม่พบอาการผิดปกติแต่อย่างใด   หลวงปิติ ธรรมศรีพยัคฆ์ ได้ทดลองรับประทานน้ำคั้นมะเกลือขนาด 2 เท่าของธรรมดาไม่พบอาการแพ้ใดๆ   และได้ให้สุนัขกิน 10 เท่า ก็ไม่ปรากฏอาการเช่นกัน   นายแพทย์มงคล โมกขะสมิต ได้นำผลมะเกลือให้สุนัขกินในขนาด 60 กรัม ก็ไม่มีอาการพิษเกิดขึ้น
                    นายแพทย์มงคล โมกขะสมิต (3) ได้ทดลองพิษของสารสกัดมะเกลือและอนุพันธ์ acetate ในสุนัข พบว่ามีสุนัขตัวหนึ่งลำไส้อักเสบ เนื่องจากได้รับ Mist alba เกินขนาดเมื่อได้รับสารสกัดมะเกลือจึงตาย   การทดลองกับผู้ป่วย 26 ราย พบอาการแพ้มาก 2 ราย รายหนึ่งตั้งครรภ์มีอาการคลื่นไส้อาเจียนอยู่แล้ว เมื่อได้มะเกลือจึงมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ถ่ายอุจจาระบ่อย และเพลียมาก
                    ต่อมาได้มีรายงานการเป็นพิษของมะเกลือ แพทย์หญิงคุณหญิงผิว ลิมปิพยอม และคณะ (19) ได้รายงานว่ามีผู้ป่วยหญิงอายุประมาณ 43 ปี มีอาการตามัวและตาบอดในที่สุด หลังจากรับประทานน้ำคั้นมะเกลือสด 20 ผล และได้วินิจฉัยว่าเกิดอาการอักเสบของประสาทตา และในปี 2521 ได้มีผู้ป่วยอีก 3 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช รายแรกเป็นเด็กชายอายุ 6 ปี สายตามัวหลังจากรับประทานมะเกลือ 2 วัน และมีอาการไข้ อาเจียน ท้องเดิน รายที่ 2 เป็นหญิงอายุ 7 ปี ตามัวหลังกิน 5 วัน ไม่รู้สึกตัว 4 วัน จึงได้ทำการรักษาโดยให้ยาสเตียรอยด์ ยาขยายหลอดเลือด nicotinic acid tablet 150 มิลลิกรัม ถึง 300 มิลลิกรัม/วัน ในผู้ใหญ่ เด็กโต 50-300 มิลลิกรัม/วัน หรือยาxanthinol nicotinate (complanin) 450 มิลลิกรัม ถึง 900 มิลลิกรัม/วัน ในผู้ใหญ่ เด็กโตลดลงตามส่วน และวิตามินบีรวม เพื่อเป็นการรักษาเพิ่มเติม ควรให้ขนาดสูงและให้ทันทีที่พบผู้ป่วย นอกจากนี้ให้โซเดียมไบคาร์บอเนต 5 กรัม ทุก4-6 ชั่วโมง เพื่อช่วยขับพวกแนพธาลีน และให้น้ำเกลือ แต่เนื่องจากกลูโคสเพิ่มการดูดซึมแนพธาลีนในร่างกายจึงควรหลีกเลี่ยงการให้กลูโคสไว้ก่อน   ผลการรักษาพบว่า สายตาดีขึ้นกว่าตอนแรก และหากได้รับการรักษาเร็วเท่าใดโอกาสหายก็ยิ่งมีมาก หากได้รับยาเกิน 7 วันแล้วรักษาไม่ได้ผล (20)
                    ต่อมาในปี 2523 นายแพทย์พิทักษ์กิจเจริญ และนายแพทย์เชี่ยวชาญ วิริยะลัพภะ (21) ได้รายงานพิษของมะเกลือในผู้ป่วย 2 ราย   รายแรกเป็นชายอายุ 25 ปี รับประทานถึง 50 ผล มากเกินกว่าที่ควร และมาโรงพยาบาลหลังได้ยาแล้ว 26 ชั่วโมง เนื่องจากมึนงง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นลมต่อมาตาบอดทั้ง 2 ข้าง ผลการรักษาไม่สามารถรักษาตาบอดได้  รายที่ 2 เป็นเด็กชายอายุ 6 ปี มีอาการตามัวหลังได้ยา 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยได้รับยาซึ่งเตรียมโดยการต้มมะเกลือกับน้ำ หลังจากรักษาได้ 3 เดือน พบว่าเริ่มมองเห็นวัตถุใหญ่ได้ดี ช่วยตนเองได้ ผู้ป่วยอีกรายอายุ 5 ปี ตามัวในวันที่ได้รับยา หลังรักษา ตาขวาหาย แต่ตาซ้ายบอด (22)   นอกจากนี้มีรายงานซึ่งไม่ได้ตีพิมพ์ว่ามะเกลือซึ่งผสมน้ำปูนใสทำให้เกิดตาบอดเช่นกัน
                    จากข้อมูลที่มีอยู่นี้พอจะสรุปได้ว่าวิธีในตำรายาไทยซึ่งให้ใช้น้ำกะทิผสมนั้น ก็เพื่อที่จะป้องกันการดูดซึมของสารสำคัญในการออกฤทธิ์   ซึ่งควรเป็นสารที่ละลายน้ำได้ดี ประกอบกับการพบว่าขนาดที่ใช้ diglucoside ใช้สูงกว่าเมื่อใช้มะเกลือ ดังนั้นสารสำคัญ น่าจะเป็นไกลโคไซด์ (23) การต้มหรือการผสมน้ำปูนใสทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีได้สาร diospyrol ซึ่งเป็นพวกแนพธาลีน สารเหล่านี้ มีการดูดซึมผ่านกระเพาะได้ดี การดูดซึมนี้จะมากหรือน้อยอาจขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของผู้ใช้ด้วย นอกจากนี้ยังอาจเปลี่ยนแปลงเป็นสารพวก phenolic อื่นๆอีกมาก ซึ่งสารเหล่านี้จะมีผลต่อประสาทตา   ส่วนการทดลองในหนูขาวและกระต่ายไม่ได้ผลว่าตาบอด   อาจจะเนื่องจากกระต่ายและหนูขาวไม่ไวต่อสารกลุ่มนี้    และระบบเมตาบอลิซึมของสัตว์ทั้งสองก็ไม่เหมือนในคนทีเดียว
ข้อควรระวัง
1.  ใช้ผลสด
2.  ควรรับประทานทันที
3.  ห้ามปั่นกับน้ำปูนใสเพราะจะทำให้สารสำคัญสลายได้สารกลุ่ม phenolic ซึ่งดูดซึมได้ดีอาจทำให้ตาบอดได้
4.  หากมีอาการตามัวรีบนำส่งโรงพยาบาล เนื่องจากมีรายงานพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับพิษเกิน 24 ชั่วโมง อาจจะตาบอดถาวร

การใช้มะเกลือรักษาโรคพยาธิ
1.  ใช้ผลมะเกลือราว 10 ลูก หรือมากน้อยกว่านั้นตามความเหมาะสมแก่วัย (เกิน 25 ปี ใช้แค่ 25 ผล) ตำคั้นน้ำผสมหัวกะทิดื่ม (24)
2.  ใช้ผลมะเกลือสด (จำนวนเท่าอายุเด็กที่ป่วย) ล้างให้สะอาดตำให้ละเอียด ใส่เกลือป่นและน้ำสะอาดประมาณ 1 1/2 แก้ว กวนผสมให้เข้ากันดี กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำยาประมาณ 1 แก้ว ดื่มก่อนนอนเมื่อต้องการให้หยุดถ่ายให้อาบน้ำ (25)
3.  ใช้ผลมะเกลือสด 5-6 ผล ตำโขลกกับน้ำกะทิสด หรือนมวัวใช้ดื่มขับพยาธิได้ (26)
4.  เอาผลมะเกลือเท่าอายุ ตำคั้นเอาน้ำ แล้วเอาน้ำปลาปากไห 1 ถ้วย ผสมกัน   เวลาเช้าให้ดื่มน้ำกะทิก่อนสัก 1 ถ้วย รอสักครู่แล้วจึงดื่มยาตาม (27)
5.  เอาผลมะเกลือเท่าอายุผสมกับเกลือ ตำคั้นน้ำ แล้วผสมกับหัวกะทิเท่ากันให้ได้น้ำประมาณ 1 ถ้วยแกง ดื่มเวลาเช้ามืด งดอาหารเช้า ถ้าธาตุหนักให้ดื่มน้ำร้อนแทรกดีเกลือพอควร ถ้าธาตุเบาไม่ต้องแทรกดีเกลือ (28

มะเกลือ

มะเกลือ


ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์

ชื่อวิทยาศาสตร์
Diospyros mollis Griff.
ชื่อวงศ์
Ebenaceae
ชื่ออังกฤษ
Ebony tree
ชื่อท้องถิ่น
มักเกลือ  ผีเผา



หลักฐานทางวิทยาศาสตร์
1.  ฤทธิ์ขับพยาธิ
                    ผลมะเกลือมีฤทธิ์ขับพยาธิ Toxicara canis และ Ancyclostoma canium ในสุนัข แต่สารสกัดไม่ให้ผลต่อพยาธิทั้ง 2    และผลมะเกลือสด ในขนาด 1.9 กรัม/กิโลกรัม ไม่ให้ผลไม่สามารถขับพยาธิ Schistosoma masoniและ Hymenolepus nana ในหนูถีบจักร (1)  แต่ในการทดลองให้น้ำคั้นผลมะเกลือสดแก่สุนัข จำนวน 80 มล. โดยให้ทางท่อสอดถึงกระเพาะอาหาร พบว่าถ้าใช้มะเกลือชนิดผลแบนใหญ่สีเขียวนวล สามารถขับพยาธิปากขอได้ 61.9 –100% ถ้าใช้มะเกลือชนิดผลกลมเล็กสีเขียว จะขับพยาธิปากขอได้ 58.2 – 67.5% โดยมีผลขับพยาธิปากขอชนิด Ancylostoma canium ได้มากกว่า  A. ceylanicum และเมื่อศึกษาประสิทธิภาพของมะเกลือในการทำลายไข่พยาธิ โดยผสมอุจจาระกับมะเกลือนาน 3, 24 และ 48 ชม.  จะทำให้การเจริญของไข่จนเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อลดลง  (2)   มีผู้ทดลองนำเอาสารสกัดซึ่งเป็นอนุพันธุ์ acetate ไปทดลองในสุนัข พบว่าได้ผลดีกับพยาธิ Ancyclostoma canium,Diphyllobothrium latumDipyridium caniumTrichuris vulpis (3, 4)
2.  สารสำคัญในการออกฤทธิ์ขับพยาธิ
                    พบว่าผลมะเกลือมีสาร diospyrol diglucoside ซึ่งละลายน้ำได้ดี จึงไม่ถูกดูดซึมผ่านลำไส้ แต่ถูกพยาธิกินเข้าไป จึงทำให้พยาธิตาย (5)
3.  การทดลองทางคลินิกใช้ขับพยาธิ
                    สารสกัดจากมะเกลือที่ใช้รักษาคนไข้ สามารถฆ่าพยาธิตัวตืด และพยาธิไส้เดือนได้ดี (6)    Sadun และ Vajrasthira ได้รวบรวมรายงานการใช้มะเกลือปี พ.ศ. 2477-2478    ซึ่งมีรายงานการรักษาคนไข้โรคพยาธิปากขอ ของโรงพยาบาลศิริราช พบว่าให้ผลดี และยังรายงานผลการรักษาคนไข้ 63 คน โดยใช้น้ำคั้นจากผลสด 4,380 กรัม ผสมกับน้ำมะพร้าว 3,000 มิลลิลิตร ซึ่งขนาดที่ใช้ขึ้นกับอายุ ในอัตรา 3 มิลลิตร/อายุ 1 ปี ขนาดที่ใช้สูงสุดคือ 75มิลลิลิตร   พบว่า 6 วัน หลังการให้ยาครั้งแรก พบว่าไข่พยาธิลดลงในคนไข้ 9 คน และพบพยาธิลดลงจากการตรวจด้วยวิธี Willis ในคนไข้ 22 คน   นอกจากนี้มีรายงานการรักษาเด็กที่เป็นพยาธิปากขอ ในโรงเรียน 40 แห่ง พบว่าน้ำคั้นผลสดผสมน้ำมะพร้าว สามารถรักษาพยาธิปากขอได้ดีกว่า Ascaris lumbricodes และ Trichuris trichicura  และได้ผลดีกว่ารักษาด้วย hexylresorcinol    พบผลข้างเคียงเล็กน้อยกับคนไข้ไม่กี่ราย คือ คลื่นไส้ อาการอาเจียน และท้องเสีย (7)
                    ใน พ.ศ. 2481 นายแพทย์เวก เนตรวิเศษ ได้ทดลองนำผงที่สกัดมาทดลองให้เด็กและผู้ใหญ่ รับประทานในขนาด 2-4 กรัม พบว่าสามารถฆ่าพยาธิปากขอ พยาธิตัวตืด พยาธิเส้นด้าย และพยาธิตัวกลมได้ (7)
                    นายแพทย์มงคล โมกขะสมิต ได้ทำการทดลองรักษาด้วยตะกอนที่เกิดจากการใส่ acetic acid ลงในสารสกัดแอลกอฮอล์ ในคนไข้ 50 คน ซึ่งมีพยาธิชนิดต่าง ๆ   ขนาดที่ให้ในผู้ใหญ่คือ 2-4 กรัม   และในเด็ก 0.1 กรัม/อายุ1 ปี พบว่าหลังการรักษาไม่พบไข่พยาธิปากขอทั้งชนิด Ancylostoma duodenale และ Necator americanus ในอุจจาระคนไข้    และได้ผลอย่างดีในคนไข้ 6 คน ที่เป็นพยาธิ Ascaris lumbricodes, Enterobius vermicularis,Strongloides steroralis, Fasciolopis buski รวมทั้งพยาธิตัวแบน 2 ชนิด คือ Taenia saginata และ T. solium (3, 4)
                    แพทย์หญิงเจริญศรี และคณะ ได้ทดลองประสิทธิภาพของสารสกัดจากผลมะเกลือสดด้วยแอลกอฮอล์ ในการรักษาคนไข้โรคพยาธิปากขอ โดยใช้ขนาดรักษา 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หลังอาหารเช้า 10 ชั่วโมง เปรียบเทียบกับการใช้ tetracholrethylene ในขนาดรักษา 0.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม   พบว่าสารสกัด สามารถลดจำนวนไข่ได้ 93.9+ 3.3%   ส่วน tetracholrethylene ลดได้ 98.8+1.2% อัตราการรักษาคิดเป็น 50.0% และ 77.3% ตามลำดับ และพบผลข้างเคียงในกลุ่มคนไข้ที่ทำการรักษา คือ คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน และปวดท้อง (8)    น้ำคั้นจากผลมะเกลือผสมน้ำปูนใสให้ผลการรักษาที่ดีในคนไข้ที่เป็นพยาธิปากขอ ผลอ่อนให้ผลดีกว่าผลแก่ แต่วิธีการนี้ไม่ควรทำแม้สารสกัดจะมีรสหวานขึ้น เนื่องจากด่างจะทำให้สารสำคัญเปลี่ยนแปลง ไปอยู่ในรูปที่ดูดซึมง่าย อาจทำให้ตาบอดได้ (9)
                    กระทรวงสาธารณสุขมีรายงานการใช้สารสกัดผลมะเกลือด้วยแอลกอฮอล์ในขนาด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รักษาพยาธิปากขอ พยาธิไส้เดือน พยาธิแส้ม้า โดยเปรียบเทียบกับ mebendazole ขนาด 2.0 มิลลิกรัม เป็นเวลา 3วัน พบว่าสารสกัดให้ผลดีกับพยาธิปากขอ แต่ให้ผลรักษาไม่ดีนักกับพยาธิไส้เดือนและพยาธิแส้ม้า สารสกัดทำให้ไข่ลดลง 57.3 ถึง 85.4% ส่วนอัตราการรักษา 23.6-29.0% ส่วน mebendazole ทำให้จำนวนไข่ลด 86.6%   สำหรับพยาธิปากขอ 98.1% สำหรับพยาธิไส้เดือน และ 77.4% สำหรับพยาธิแส้ม้า อัตราการรักษา 32.4, 92.0 และ 79.6% ตามลำดับ (10,11)
                    Sen และคณะรายงานการรักษาใช้สารสกัดผลมะเกลือด้วยแอลกอฮอล์เปรียบเทียบกับ Combantrin ในการขับพยาธิปากขอ พบว่าสารสกัดทำให้จำนวนไข่ลดลง 80.1% ส่วนอัตราการรักษาได้ผล 22.2% ขณะที่Combantrin ทำให้จำนวนไข่พยาธิปากขอ และพยาธิไส้เดือนลดลง 78.7% และ 100% ส่วนอัตราการรักษาได้ผล 12.8 และ 88.9% ตามลำดับ   มีรายงานคนไข้ที่ได้รับสารสกัดมีอาการท้องเสีย 80% และมีผลข้างเคียง อาเจียน, วิงเวียน,ปวดท้อง และปวดศีรษะในคนไข้บางราย (12)
4.  การทดสอบความเป็นพิษ
                    นายแพทย์มนัสวีร์ อุณหนันท์ และคณะ (13) ได้ทดลองศึกษาพิษของมะเกลือ โดยการทดลองในหนูขาว หนูถีบจักร และ กระต่าย พบว่าเมื่อให้สัตว์ทดลองกินมะเกลือ ในขนาด 16 เท่า ของขนาดที่ได้ผลในคน คิดเป็นน้ำหนักผงมะเกลือที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือ น้ำหนักผลมะเกลือสด 40 กรัม /กิโลกรัม ไม่พบพิษเฉียบพลัน ทั้งในหนูถีบจักร หนูขาวและกระต่าย การศึกษาขนาดสารสกัดต่าง ๆ ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง(LD50)    พบว่าสารสกัดด้วยน้ำใหม่ ๆ มี LD50น้อยที่สุดคือ 64 เท่าของขนาดในคน ในขณะที่สารสกัดซึ่งเปลี่ยนสีไปเป็นสีเหลือง เทา หรือดำ จะมีพิษน้อยกว่า
                    ผู้วิจัยกลุ่มนี้ยังได้ทำการทดลองความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลัน (subchronic toxicity) โดยทดลองในกระต่าย 128 ตัว พบว่าขนาดต่างๆไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย แต่ในขนาดสูงมากๆ อาจตายได้ และพวกที่กรอกด้วยมะเกลือผสมกะทิ สัตว์ทดลองตายมากที่สุด
                    การศึกษาทางพยาธิวิทยา เมื่อให้มะเกลือ 20 เท่า ของขนาดที่ใช้ในคน ไม่พบอาการผิดปกติของอวัยวะใด โดยเฉพาะที่ตา และสมอง การตรวจนี้ทำหลังจากให้มะเกลือแล้ว 14 วัน
                    ผู้วิจัยกลุ่มเดียวกันนี้ได้ทำการทดลองต่อไปถึงพิษของน้ำคั้นมะเกลือผสมกะทิ พบว่าเมื่อให้ในขนาด 5 และ 10 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน พบว่าสัตว์ทดลองตาย แต่ยาเตรียมแบบอื่นปลอดภัย ไม่พบอันตรายอื่น นอกจากท้องเสีย น้ำหนักลด และปัสสาวะขุ่น การศึกษาต่อไปเพื่อเปรียบเทียบน้ำคั้นมะเกลือกับกะทิ และน้ำคั้นมะเกลือกับน้ำ พบว่าทำให้กระต่ายท้องเสียอยู่ประมาณ 1-3 วัน ผลการตรวจเลือดพบว่า ระดับยูเรีย ไนโตรเจน (BUN) และ โคเลสเตอรอล สูงขึ้น ส่วนระดับครีเอตินิน แอลบูมิน กลอบบิวลิน แอลบูมิน ฟอสฟาเตส และ แทรนซามิเนส เปลี่ยนแปลง การตรวจพยาธิสภาพ พบว่าผนังท่อไต มีสีน้ำตาลติดอยู่ ส่วนตา และประสาทตา ไม่พบอาการผิดปกติ ในช่วงเวลาหลังให้มะเกลือ 3 วัน และ 7 วัน น้ำกะทิ ไม่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์แต่อย่างใด (14)
                    การศึกษาพิษของมะเกลือในหนูขาว โดยใช้น้ำคั้นมะเกลือที่เตรียมโดยวิธีต่างๆ เช่น คั้นสดๆ และต้มจนเกิดการอ๊อกซิไดซ์ และใช้มะเกลือที่ถูกอ๊อกซิไดซ์แล้ว พบว่าไม่เกิดพิษต่อประสาทตาในหนูขาว อาการข้างเคียงที่พบ คือ คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว อาการซึม (15) ได้มีผู้ศึกษาผลของยาเตรียม 3 ชนิด คือ น้ำคั้นกับน้ำปูนใส และน้ำคั้นผลสด และน้ำคั้นผลที่เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว เมื่อให้ในหนูถีบจักรกินในขนาด 1, 10, 25 และ 30 เท่าของขนาดที่คนใช้ พบว่า LD50 = 22-22.5 เท่าของขนาดที่คนใช้ ค่า BUN และ GOT ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่พบพิษต่อตับ ไต และตา และพบว่ามีคราบสีน้ำตาลในท่อไต และผนังลำไส้ และเซลล์ตับบางเซลล์ (16)   เมื่อนำสาร diospyros ที่ได้จากสารสกัดด้วยอัลกอฮอล์จากผลมะเกลือสด และสาร mamegakinone ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการนำ diospyrol มาทำปฏิกิริยาออกซิเดชันด้วยสารละลายเกลือ (Fremy’s salt solution) ไปทดสอบพิษต่อลูกตากระต่าย ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพในเรตินาและประสาทอ๊อบติค (เส้นประสาทที่เกี่ยวกับการรับภาพ) (17)
5.  รายงานความเป็นพิษ
                    นายแพทย์ศรี ศรีนพคุณ (18) ได้กล่าวถึงรายงานความปลอดภัยของมะเกลือของนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน คือ นายแพทย์ประยูร สายบำรุง ได้ทดลองให้สุนัขกินมะเกลือ 10 เท่าของขนาดธรรมดา ไม่พบอาการผิดปกติแต่อย่างใด   หลวงปิติ ธรรมศรีพยัคฆ์ ได้ทดลองรับประทานน้ำคั้นมะเกลือขนาด 2 เท่าของธรรมดาไม่พบอาการแพ้ใดๆ   และได้ให้สุนัขกิน 10 เท่า ก็ไม่ปรากฏอาการเช่นกัน   นายแพทย์มงคล โมกขะสมิต ได้นำผลมะเกลือให้สุนัขกินในขนาด 60 กรัม ก็ไม่มีอาการพิษเกิดขึ้น
                    นายแพทย์มงคล โมกขะสมิต (3) ได้ทดลองพิษของสารสกัดมะเกลือและอนุพันธ์ acetate ในสุนัข พบว่ามีสุนัขตัวหนึ่งลำไส้อักเสบ เนื่องจากได้รับ Mist alba เกินขนาดเมื่อได้รับสารสกัดมะเกลือจึงตาย   การทดลองกับผู้ป่วย 26 ราย พบอาการแพ้มาก 2 ราย รายหนึ่งตั้งครรภ์มีอาการคลื่นไส้อาเจียนอยู่แล้ว เมื่อได้มะเกลือจึงมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ถ่ายอุจจาระบ่อย และเพลียมาก
                    ต่อมาได้มีรายงานการเป็นพิษของมะเกลือ แพทย์หญิงคุณหญิงผิว ลิมปิพยอม และคณะ (19) ได้รายงานว่ามีผู้ป่วยหญิงอายุประมาณ 43 ปี มีอาการตามัวและตาบอดในที่สุด หลังจากรับประทานน้ำคั้นมะเกลือสด 20 ผล และได้วินิจฉัยว่าเกิดอาการอักเสบของประสาทตา และในปี 2521 ได้มีผู้ป่วยอีก 3 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช รายแรกเป็นเด็กชายอายุ 6 ปี สายตามัวหลังจากรับประทานมะเกลือ 2 วัน และมีอาการไข้ อาเจียน ท้องเดิน รายที่ 2 เป็นหญิงอายุ 7 ปี ตามัวหลังกิน 5 วัน ไม่รู้สึกตัว 4 วัน จึงได้ทำการรักษาโดยให้ยาสเตียรอยด์ ยาขยายหลอดเลือด nicotinic acid tablet 150 มิลลิกรัม ถึง 300 มิลลิกรัม/วัน ในผู้ใหญ่ เด็กโต 50-300 มิลลิกรัม/วัน หรือยาxanthinol nicotinate (complanin) 450 มิลลิกรัม ถึง 900 มิลลิกรัม/วัน ในผู้ใหญ่ เด็กโตลดลงตามส่วน และวิตามินบีรวม เพื่อเป็นการรักษาเพิ่มเติม ควรให้ขนาดสูงและให้ทันทีที่พบผู้ป่วย นอกจากนี้ให้โซเดียมไบคาร์บอเนต 5 กรัม ทุก4-6 ชั่วโมง เพื่อช่วยขับพวกแนพธาลีน และให้น้ำเกลือ แต่เนื่องจากกลูโคสเพิ่มการดูดซึมแนพธาลีนในร่างกายจึงควรหลีกเลี่ยงการให้กลูโคสไว้ก่อน   ผลการรักษาพบว่า สายตาดีขึ้นกว่าตอนแรก และหากได้รับการรักษาเร็วเท่าใดโอกาสหายก็ยิ่งมีมาก หากได้รับยาเกิน 7 วันแล้วรักษาไม่ได้ผล (20)
                    ต่อมาในปี 2523 นายแพทย์พิทักษ์กิจเจริญ และนายแพทย์เชี่ยวชาญ วิริยะลัพภะ (21) ได้รายงานพิษของมะเกลือในผู้ป่วย 2 ราย   รายแรกเป็นชายอายุ 25 ปี รับประทานถึง 50 ผล มากเกินกว่าที่ควร และมาโรงพยาบาลหลังได้ยาแล้ว 26 ชั่วโมง เนื่องจากมึนงง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นลมต่อมาตาบอดทั้ง 2 ข้าง ผลการรักษาไม่สามารถรักษาตาบอดได้  รายที่ 2 เป็นเด็กชายอายุ 6 ปี มีอาการตามัวหลังได้ยา 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยได้รับยาซึ่งเตรียมโดยการต้มมะเกลือกับน้ำ หลังจากรักษาได้ 3 เดือน พบว่าเริ่มมองเห็นวัตถุใหญ่ได้ดี ช่วยตนเองได้ ผู้ป่วยอีกรายอายุ 5 ปี ตามัวในวันที่ได้รับยา หลังรักษา ตาขวาหาย แต่ตาซ้ายบอด (22)   นอกจากนี้มีรายงานซึ่งไม่ได้ตีพิมพ์ว่ามะเกลือซึ่งผสมน้ำปูนใสทำให้เกิดตาบอดเช่นกัน
                    จากข้อมูลที่มีอยู่นี้พอจะสรุปได้ว่าวิธีในตำรายาไทยซึ่งให้ใช้น้ำกะทิผสมนั้น ก็เพื่อที่จะป้องกันการดูดซึมของสารสำคัญในการออกฤทธิ์   ซึ่งควรเป็นสารที่ละลายน้ำได้ดี ประกอบกับการพบว่าขนาดที่ใช้ diglucoside ใช้สูงกว่าเมื่อใช้มะเกลือ ดังนั้นสารสำคัญ น่าจะเป็นไกลโคไซด์ (23) การต้มหรือการผสมน้ำปูนใสทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีได้สาร diospyrol ซึ่งเป็นพวกแนพธาลีน สารเหล่านี้ มีการดูดซึมผ่านกระเพาะได้ดี การดูดซึมนี้จะมากหรือน้อยอาจขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของผู้ใช้ด้วย นอกจากนี้ยังอาจเปลี่ยนแปลงเป็นสารพวก phenolic อื่นๆอีกมาก ซึ่งสารเหล่านี้จะมีผลต่อประสาทตา   ส่วนการทดลองในหนูขาวและกระต่ายไม่ได้ผลว่าตาบอด   อาจจะเนื่องจากกระต่ายและหนูขาวไม่ไวต่อสารกลุ่มนี้    และระบบเมตาบอลิซึมของสัตว์ทั้งสองก็ไม่เหมือนในคนทีเดียว
ข้อควรระวัง
1.  ใช้ผลสด
2.  ควรรับประทานทันที
3.  ห้ามปั่นกับน้ำปูนใสเพราะจะทำให้สารสำคัญสลายได้สารกลุ่ม phenolic ซึ่งดูดซึมได้ดีอาจทำให้ตาบอดได้
4.  หากมีอาการตามัวรีบนำส่งโรงพยาบาล เนื่องจากมีรายงานพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับพิษเกิน 24 ชั่วโมง อาจจะตาบอดถาวร

การใช้มะเกลือรักษาโรคพยาธิ
1.  ใช้ผลมะเกลือราว 10 ลูก หรือมากน้อยกว่านั้นตามความเหมาะสมแก่วัย (เกิน 25 ปี ใช้แค่ 25 ผล) ตำคั้นน้ำผสมหัวกะทิดื่ม (24)
2.  ใช้ผลมะเกลือสด (จำนวนเท่าอายุเด็กที่ป่วย) ล้างให้สะอาดตำให้ละเอียด ใส่เกลือป่นและน้ำสะอาดประมาณ 1 1/2 แก้ว กวนผสมให้เข้ากันดี กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำยาประมาณ 1 แก้ว ดื่มก่อนนอนเมื่อต้องการให้หยุดถ่ายให้อาบน้ำ (25)
3.  ใช้ผลมะเกลือสด 5-6 ผล ตำโขลกกับน้ำกะทิสด หรือนมวัวใช้ดื่มขับพยาธิได้ (26)
4.  เอาผลมะเกลือเท่าอายุ ตำคั้นเอาน้ำ แล้วเอาน้ำปลาปากไห 1 ถ้วย ผสมกัน   เวลาเช้าให้ดื่มน้ำกะทิก่อนสัก 1 ถ้วย รอสักครู่แล้วจึงดื่มยาตาม (27)
5.  เอาผลมะเกลือเท่าอายุผสมกับเกลือ ตำคั้นน้ำ แล้วผสมกับหัวกะทิเท่ากันให้ได้น้ำประมาณ 1 ถ้วยแกง ดื่มเวลาเช้ามืด งดอาหารเช้า ถ้าธาตุหนักให้ดื่มน้ำร้อนแทรกดีเกลือพอควร ถ้าธาตุเบาไม่ต้องแทรกดีเกลือ (28